เคยอ่านจากไหนก็จําไม่ได้เสียแล้ว สําหรับคํากล่าวที่ว่า ‘เราไม่ควรโยนทั้งชีวิตทิ้ง เพียงเพราะมันบุบสลายเล็กน้อย’
ยกประเด็นที่ว่า บุบสลายแค่ไหนจึงเรียกว่ามาก-น้อย เอาไว้ก่อน ประโยคนี้เหมือนจะเป็นการบอกกันอย่างกลายๆ ว่า ‘ชีวิตนั้น บ่อยครั้งไม่สมบูรณ์แบบ’ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จะ ‘อยู่กันไปได้’
‘ผมเรียกเขาว่าเน็กไท’ เล่าเรื่องของคนไม่สมบูรณ์แบบสองคนที่มาพบกันอย่างบังเอิญในที่ที่ตนเองไม่สมควรอยู่ คนหนึ่งเป็นชายวัยยี่สิบเศษ มีอาการที่เรียกกันว่า ‘ฮิกิโกะโมริ’ ขังตัวเอง อยู่ในห้องมานานนับปีอีกคนเป็นชายวัยกลางคน เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ควรทํางานหัวหมุนอยู่ในบริษัท แต่ทั้งคู่ก็มาพบกันที่สวนสาธารณะ ตอนกลางวัน ในวันหนึ่งที่แสนธรรมดา
เรื่องราวต่อจากนั้นคือการบอกเล่าว่าอะไรคือสาเหตุที่ทําให้คนแรกเลือกขังตัวเองไว้และมีเบื้องหลังอะไรที่มากไปกว่าที่เราพอจะคาดเดาได้ในวันที่พบว่าตนเองไม่เป็นที่ต้องการในที่ทํางานอีกต่อไป ชายคนหนึ่งจึงเลือกที่จะปิดบังความจริงข้อนี้ไว้แม้แต่กับผู้หญิงที่เขาเรียกว่าคู่ชีวิต
พูดอีกแบบก็คือ หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดโศกนาฏกรรมส่วนตัวของคนธรรมดา และการเรียนรู้จากโศกนาฏกรรมของคนอื่น โดยที่เป้าหมายอาจไม่ใช่เพื่อแก้ไขหรือแม้แต่ก้าวข้ามรอยด่างในชีวิตตนเอง แต่คือการอยู่ร่วมกับมันให้ได้...อยู่ให้รอด
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่หนังสือของคนสายโลกหม่นดาร์ก ฝนตกทุกวัน ท้องฟ้ามีเมฆครึ้มลอยตํ่าตลอดเวลาอะไรทํานองนั้น
แต่มันคือนิยายอุ่นปนขมที่บอกกับเราว่า ต่อให้ไม่สมบูรณ์แบบ ถึงอย่างไร ชีวิตก็ยังเป็นชีวิต และหลายประโยค หลายช่วงตอนในหนังสือ ทําให้เรารู้สึกรู้สมในระดับหยั่งรากลึก